ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







บทที่ 2

เศรษฐศาสตร์กับความต้องการของชีวิต

ธุรกิจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่เป็น ความต้องการของมนุษย์ซึ่งจากเกิดจากความต้องการทั้งทางด้านร่างกาย เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือเป็นสิ่งที่จรรโลงจิตใจทำให้เกิดกำลังใจในการที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ การสร้างงานที่สอดคล้องกับความต้องกการพื้นฐานของมนุษย์ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการจึงจะสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้  

 ลักษณะความต้องการของมนุษย์

            ความต้องการของมนุษย์มีความต้องการหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน ดังที่กล่าวกันว่า มนุษย์มีความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด การทำความเข้าใจความต้องการของมนุษย์ตามหลักการและแนวคิดต่าง ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดที่จะนำไปสู่การสร้างงานเพื่อธุรกิจ แนวคิดตามความต้องการของมนุษย์

มนุษย์ทุกคนเกิดมามีความต้องการที่เป็นสัญชาตญาณเพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ ทันทีที่ทารกมีชีวิตอยู่ในโลหภายนอกโดยไม่มีอาหารและอากาศที่ได้รับจากแม่ ก็จะแสดงความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติด้วยการร้องเพื่อนำอากาศเข้าสู่ปอดเป็นการหายใจได้ และไขว่คว้าเพื่อสวงหาอาหารด้วยการส่ายหัวไปมา ทารกจะมีสัญชาตญาณของการแสวงหาอาการติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อมีวสัตถุมากระทบบริเวณริมฝีปากก็จะอ้าปากและหันศีรษะเข้าหาวัตถุนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นความต้องการทางด้านร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุด

ความต้องการด้านจิตใจ เป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่เป็นความต้องการของมนุษย์ นอกเหนือไปจากความต้องการทางด้านร่างกาย ได้แก่ ความต้องการความรักและการยอมรับ  ความต้องการความเข้าใจ ความต้องการนี้ส่งผลให้จิตใจรู้สึกเป็นสุข จะเห็นได้ว่าเด็ก ๆ ต้องการมีพ่อแม่ที่คอยอุ้มชู และอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็จะส่งผลให้เกิดความทุกข์ด้วยการแสดงอาการไม่พอใจ เซื่องซึมเพื่อถูกจับแยกออกจากคนที่เคยใกล้ชิด  ความต้องการรักผู้อื่นและอยากให้ผู้อื่นรัก เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมไปในทางที่จะให้ได้ผลลัพธ์นั้น ความต้องการอยากให้คนอื่นเข้าใจ เห็นใจ รับรู้ตัวตนและเห็นความสำคัญ ป็นความต้องการที่สร้างความสุขและความทุกข์ให้กับมนุษย์ได้ในขณะเดียวกัน  

ความต้องการด้านจิตใจนี้นำมาซึ่งสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ขวนขวายที่จะสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ก่อให้เกิดสังคมที่พึ่งพาอาศัยกัน และก่อให้เกิดการคล้อยตามและความร่วมมือ นอกจากนี้การที่มนุษย์มีผู้อื่นอยู่ด้วยทำให้ต้องสร้าง กฎกติการเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ กฎกติกานี้เองที่ทำให้เกิดความต้องการอำนาจเหนือผู้อื่น และความต้องการที่จะมีความก้าวหน้าไปกว่าคนอื่น ๆ พฤติกรรมการแข่งขัน การเอารัดเอาเปรียบจึงเกิดขึ้น นอกเหนือไปจากการสร้างความร่วมมือกัน  

นักจิตวิทยาชื่อ อับราฮัม มาสโลว์ ได้ทำการศึกษาความต้องการของมนุษย์และได้ตั้งทฤษฎีความต้องการตามลำดับขึ้นเพื่ออธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ที่สัมพันธ์กับลำดับขั้นของความต้องการที่แตกต่างกัน ไว้ดังนี้

ความต้องการขั้นที่ 1 เป็นความต้องการพื้นฐานทางร่างกายเพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งความต้องการในขั้นนี้มีความต้องการที่อยู่ในลำดับขั้นย่อย ๆ ด้วย  เช่น ความต้องการอากาศจะเป็นความต้องการเป็นอันดับแรก น้ำ อาหาร ยารักษาโรค และความต้องการทางเพศ เป็นต้น มีเรื่องเล่าว่านักเรียนตัวน้อยถูกขังไว้ในห้องน้ำ แล้วด้วยความไม่รอบคอบของโรงเรียนที่ใส่กุญแจห้องน้ำ เนื่องจากโรงเรียนปิดเทอมจึงไม่ต้องการให้ใครมาใช้ห้องน้ำของโรงเรียน ทำให้เด็กถูกขังไว้หลายวัน ในวันเปิดเทอมพบว่าเด็กคนนั้นตาย จากการตรวจพบว่า เด็กกินกระดาษที่อยู่ในห้องน้ำและสันนิษฐานว่าคงดื่มน้ำในโถส้วมก่อนตายด้วยความหิว

 ความต้องการขั้นที่ 2 เป็นความต้องการด้านความปลอดภัย  เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย เพื่อให้ความปลอดภัยแก่ร่างกายจึงเป็นลำดับขั้นที่มนุษย์ใฝ่หา ดังจะเห็นได้ว่า เด็กขายพวงมาลัยบางคนจะวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถยนตร์โดยไม่กลัวอันตรายถ้ายังขายได้เงินไม่เพียงพอ หรือพวกเร่ร่อนจะนอนใต้สะพานลอยโดยไม่กลัวอันตราย

ความต้องการขั้นที่ 3 เป็นความต้องการที่เริ่มต้นในเรื่องของจิตใจ คือ ความต้องการการยอมรับความเข้าใจ ดังนั้นมนุษย์จึงแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การยอมให้สิ่งของ ยอมเสียเวลา หรือยอมอดทนในบางเรื่อง หรือต้องเสียสละเพื่อให้มีการยอมรับว่าเป็นเพื่อน บางคนถึงกับซื้อของมากำนัลกันเพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพื่อน

ความต้องการขั้นที่ 4 เป็นความต้องการที่จะเป็นบุคคลที่มีเกียรติยศชื่อเสียง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า มีอำนาจสั่งการ มีลูกน้องคอยดูแลรับใช้  และมีบารมีที่คนทั่วไปให้การยกย่องและนับถือ ความต้องการขั้นนี้จึงมีการให้ที่มากกว่าปกติธรรมดาเพื่อแสดงว่าตนสามารถเป็นที่พึ่งพึง ให้ความคุ้มครองให้แก่กลุ่มเพื่อนได้ บางครั้งอาจมาในรูปแบบของการแสดงความเป็นนักเลง การแสดงความสามารถของบุคคลที่เหนือคนอื่นเพื่อให้ได้รับเกียรติยศจากกลุ่ม เป็นต้น

ความต้องการขั้นที่ 5 เป๋นความต้องการเข้าใจตนเองที่แท้จริง ซึ่งเป็นความรู้สึกว่าตนบรรลุความสำเร็จที่เป็นความภาคภูมิใจโดยปราศจากเงื่อนไขหรือความคับข้องใจใด ๆ  ในขั้นนี้พบว่าบุคคลจะพบความสุขในชีวิตด้วยการมองเห็นภาพตนเองที่เป็นจริงด้วย

มาสโลว์กล่าวว่า ความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้น ความต้องการจึงหมุนเวียนเป็นวัฐจักร ดังนั้นการที่จะก้าวขั้นความต้องการของไปทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกไม่เต็มอิ่นกับความต้องการในขั้นนั้น ๆ ทำให้เกิดความกระวนกระวายใจและหาโอกาสที่จะเติมเต็มความต้องการนั้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการก้าวไปตามขั้นตอนอย่างมีความรู้สึกที่เพียงพอจึงเป็นผลที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมที่สมดุล แต่อย่างไรก็ตามบุคคลจะต้องรู้สึกว่าความต้องการในขั้นต้นนั้นว่ามีความเพียงพอเสียก่อนจึงจะก้าวไปสู่ความต้องการในขั้นต่อไปได้

การศึกษาความต้องการเพื่อธุรกิจ

          ในทางธุรกิจได้แบ่งลักษณะของความต้องการของผู้บริโภคออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1. ความต้องการที่จำเป็น (Needs)  หมายถึง ความต้องการในสิ่งที่จำเป็นขึ้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ได้แก่ ปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย  Needs เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ไม่มีไม่ได้ เช่นถ้าขาดอากาศหายใจในปริมาณหนึ่งและในชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือ ความหิว :ที่ทำให้เกิดอาการอยากได้อาหารซึ่งเป็นความต้องการอาหารของร่างกาย ไม่ระบุชนิด อาหารอาจเป็น ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรืออะไรก็ได้ที่กินแล้วหายหิว

2. ความต้องการที่เป็นความอยากได้ (Wants) มนุษย์ยังมีความต้องการที่ นอกเหนือ ไปจากการได้รับสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ยอกเหนือเกล่านั้นเรียกว่า เป็นความอยากมี  อยากเป็น แต่ถ้าไม่มีก็ได้เพราะมารถนำสิ่งอื่น ๆ มาทดแทนกันก็ได้  เช่น  เมื่อหิวเห็นข้าวผัดก็อาจไม่อยากกิน ถามตัวเองว่าอยากกินอะไรก็ระบุได้ว่าอยากกินข้าวขาหมู : การระบุชนิดอาหารทำให้ต้องไปแสวงหาข้าวขาหมูกินให้ได้จึงจะรู้สึกดี แต่ถ้าไม่มีอาหารที่ระบุว่าต้องการ การกินข้าวผัด หรืออาหารประเภทอื่น ๆ ก็สามารถทดแทนความต้องการที่จำเป็นได้ เป็นต้น  ส้วม และกระดาษชำระ แต่ในที่สุด ก็เสียชีวิต เนื่องจากถูกขังนานวันเกินไป เป็นต้น

3. ความต้องการที่ร้องขอ (Demand) ทางเศรษฐศาสตร์เรียกความต้องการประเภทนี้ว่าว่า อุปสงค์ ดังนั้นในทางธุรกิจจึงใช้เรียกว่าเป็นความต้องการที่เกิดจากกำลังซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์หรือบริการของผู้บริโภคในตลาดซึ่งมีสินค้า (Product) 2 ประเภท คือ ประเภทที่เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (Goods) เป็นสินค้าที่หมายถึงวัตถุสิ่งของที่สนองความต้องการหรือความจำเป็นได้ มีมวลที่จับต้องได้ มองเห็นได้ เช่น  อาหาร  หนังสือ  โต๊ะ  เก้าอี้ เป็นต้น ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้นเป็นสินค้าที่เรียกว่า สินค้าบริการ  (Services)  หมายถึง  สิ่งที่สนองความต้องการ หรือความจำเป็นที่ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่รู้สึกได้ในขณะใช้บริการหรือหลังการใช้บริการ เช่น การขนส่ง  การซื้อขาย การแลกเปลี่ยน  การท่องเที่ยว  การโฆษณา การประชาสัมพันธ์  และการโทรศัพท์ เป็นต้น

4. ความต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการ (Supply) ในมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจ คือ การพิจารณาในหลักเศรษฐศาตร์เพื่อให้เกิดตัวเลือกที่ผู้บริโภคพิจารณาและมองเห็นความสำคัญของการเลือกที่จะตอบสนองความต้องการของตน ธุรกิจจึงเกิดขึ้นจากความต้องการแสวงหาผลกำไรจากการผลิตสินค้าหรือดำเนินกิจการ เพื่อให้เป็นที่ถูกใจและสร้างความพึงพอใจ ในปัจจุบันมีลินค้ามากมายที่เป็นทั้งสินค้าจำเป็นที่มีลำดับความจำเป็นที่มากน้อยลดหลั่นกันไปสินค้าเกินความจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย

เศรษฐศาตร์และการตอบสนองความต้องการ

            ความต้องการของมนุษย์เกิดจากปัญหาความขาดแคลนทรัพยากร ที่ทำให้ต้องมีการบริหารจัดการให้ความต้องการนั้นอยู่ในสภาพที่สมดุล โดยยึดหลักทางเศรษฐศาตร์มาเป็นตัวกำกับเพื่อจัดสรรค์ทรัพยากรให้เกิดความลงตัว โดยการแสวงหาทางเลือกเปรียบเทียบประโยชนืและความคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น การเลือกวิธีการเดินทาง  จะเดินทางโดยวิธีใด ซึ่งอาจมีให้เลืกหลายทางก็จริงแต่ในที่สุดแล้วก็จะเหลือเพียงตัวเลือกแค่ 2 ตัวเลือกเท่านั้น เมื่อขับรถยนตร์ไปถึงทางด่วน ต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นทางด่วนหรือไม่ วิธีการตัดสินใจคือ การขึ้นทางด่วนจะคุ้มค่าหรือไม่ ด้วยการวิเคราะห์ได้คือ ถึงที่หมายเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้นเสียคือ เสียเงิน 40 บาท        .เสีย สละความสุขที่เงิน 40 บาทสามารถซื้อให้ได้ ผลของการตัดสินใจจะเกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง  “เสีย”  และ  “ได้”  เป็นต้น (วรากรณ์  สามโกเศศ, 2549).การเลือกไม่ว่าจะเป็นการเลือกอย่างไร ย่อมต้องมีต้นทุนของการเลือกเสมอ ต้นทุนอาจเป็นการเสียโอกาสทั้งสิ้น ดังคำกล่าที่ว่า ไม่มีของฟรีในโลกนี้

            ในการเลือกซื้อหรือเลือกแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดได้ประโยชน์มากที่สุดจากตัวเลือกที่มีอยู่อาจเป็นการเลือกที่ยังเป็นไปในเชิงเศรษฐศาสตร์นัก เพราะยังไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จำเป็นอย่างอื่นๆ ที่จะเสาะแสวงหาได้จากจำนวนเงินที่มีอยู่เพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด เช่น ถ้ามีเงิน 3,000 บาท ควรจะนำไปทำอะไรให้ได้ผลตอบแทนหรือกำไรมากที่สุด ผลตอบแทนหรือกำไรนั้นอาจเป็นได้ทั้งรูปธรรม เช่น อาหาร เครื่องใช้ ฟรือ เป็นนามธรรม เช่น ความสุข ก็ได้

การคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น มีปัจจัยรอบด้านที่เป็นองค์ประกอบในการคิด เช่น การซื้อบ้าน ควรจะซื้อด้วยเงิยสด หรือเงินผ่อน ค่าของเงินในอนาคต อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน  หรือการซื้อรถยนต์มือสอง เมื่อเทียบกับการซื้อรถยนต์มือหนึ่ง เป็นต้น การบริหารจัดการด้านการเงินจึงต้องใช้หลักคิดทางเศรษฐกิจ ซึ่งความล้มเหลวของการบริหารด้านการเงินนั้นจะเห็นได้จากบทเรียนที่ให้ข้อคิดจาก .สามล้อถูกหวย เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวันเกี่ยวช้องกับการเลือกและการคิดตัดสินใจ ซึ่งเป็นทักษะของการคิดที่ประกอบด้วยค่านิยมรวมทั้งแรงกดดันทางสังคมด้วย

ระบบการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ

การแลกเปลี่ยน หมายถึง นำสิ่งหนึ่งไปให้เพื่อประโยชน์ในการได้รับอีกสิ่งหนึ่งเป็นการตอบแทน ในทางธุรกิจ จะเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับสินค้า หรือสินค้ากับสิ่งที่เทียบค่าเท่ากับราคาสินค้านั้น

ระบบการแลกเปลี่ยน (Trade Systems) แบ่งออกได้เป็น 3 ระบบ คือ

    1. ระบบการแลกเปลี่ยนการแลกระหว่างสิ่งของต่อสิ่งของหรือสินค้ากับสินค้า (Barter System) ต้องมีเงื่อนไขในการแลก เช่น การแลกผลไม้ กับสินค้าทะเล ข้าวสารกับผัก หมูกับเนื้อหรือไก่ ยางพารากับปลาร้า เป็นต้น เรียกระบบเช่นนี้ว่า เป็นระบบการแลกเปลี่ยนแบบ ยื่นหมู  ยื่นแมวหรือ หมูไป ไก่มา

     ปัญหาและอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนในระบบนี้ มีหลายประการ จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมกันแต่ในช่วงรัฐบาลของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้นำหลักการแลกเปลี่ยนสินค้าแบบนี้มาใช้เพื่อแลกเปลี่ยนผลผลิตที่มีมากเกินความต้องการโดยให้จังหวัดกับจังหวัดจับคู่กันเป็นคู่ค้าเพื่อถ่ายเทผลผลิตที่มีอยู่เป็นการแลกเปลี่ยนกัน ดังที่มีการโฆษณาในโทรทัศน์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้เห็นการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนกับชุมชน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามมีปัญหาและอุปสรรค ในการแลกเปลี่ยนแบบนี้เกิดขึ้น เช่น 

-          ความต้องการไม่ตรงกัน

-          ยุ่งยากในการกำหนดราคา

-          ยุ่งยากในการเก็บรักษา สินค้าบางอย่างเสื่อมสภาพง่าย

-          ยุ่งยากในการขนส่ง เพราะสินค้าต่างกันการขนส่งมีเทคนิคต่างกัน เช่น ในการขนส่งข้าวไปเพื่อแลกเอาปลาสดกลับมา เป็นต้น

-          ไม่สามารถใช้กู้ยืมและชำระหนี้ เช่น ยืมไก่ 1 ตัว 5 วัน เมื่อถึงเวลาใช้คืน สภาพไก่ก็เปลี่ยนแปลงไป การเอาไก่ตัวใหม่มาคืนอาจไม่เหมือนเดิม

-           สินค้าบางประเภทแยกเป็นส่วนย่อยไม่ได้ เช่น วัวที่มีชีวิต ต้องแลกทั้งตัว จะตัดแบ่งออกเป็นครึ่งตัวไม่ได้

2. ระบบแลกเปลี่ยนโดยใช้เงินตรา (Monetary) เงินครา คือ สิ่งสร้างสรรค์ที่มีรูปแบบ

พิเศษ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ณ เวลาที่มีการยอมรับระหว่างกัน (สุภัททา ปิณฑะแพทย์) เงินตรา มีรูปแบบ 2 ชนิด คือ ชนิดที่เป็นธนบัตรและชนิดที่เป็นเหรียญ

      2.1 คุณสมบัติของเงินตรา เงินตรา มีชื่อเรียกสกุล เช่น บาท ดอลลาร์ เปโซ ริงกิต มีการกำหนดอัตราที่นำมาแลกเปลี่ยนกันได้

2.2  เงินตรามีหน้าที่ทางธุรกิจ ได้แก่

1)      เป็นตัววัดมูลค่า (Measure of Value)

2)      เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange)

3)      เป็นตัวชำระหนี้สิน (Standard of Deferred Payment)

4)      เป็นตัวรักษามูลค่า (Store of Value)

5)      เป็นตัวโอนย้ายมูลค่า (Transfer of Value)

2.3  คุณสมบัติของเงินที่ดี ได้แก่

       1) ยอมรับโดยทั่วไปให้ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าได้

       2) สามารถแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลได้

       3) มีมูลค่าคงตัว

       4)  มีความคงทน ไม่ยุ่ยหรือเสียหายได้ง่าย

        5)  พกพาหรือขนย้ายได้ง่าย

 3. ระบบแลกเปลี่ยนโดยใช้เครดิต (Credo) เครดิต หรือ หนี้ หรือสินเชื่อ (Credit or Debt) เป็นสิ่งเดียวกัน ผู้มีเครดิต คือผู้ได้รับการไว้วางใจให้เป็นหนี้ได้ เครดิตเพื่อการลงทุน Investment เพื่อการพาณิชย์ (Commercial) เพื่อการบริโภค (Consumption)

 เครดิตตาทระยะเวลา ได้แก่ เครดิตระยะยาว (Long Term) ระยะปานกลาง (Medium Term)  ระยะสั้น (Short Term) ซึ่งเรียกคืนได้ทันทีตามความต้องการ (Demand) เครดิตสาธารณะ (Public) และเครดิตเอกชน (Private)

เครื่องมือที่ใช้เพื่อการได้รับเครคิต ได้แก่ สัญญาปากเปล่า (Verbal Agreement Credit)

เครดิตในบัญชี (Book Credit) ซึ่งได้แก่ ใบส่งสินค้าหรือเอกสารขนส่งสินค้า เอกสารการเงินเครดิต (Financial Credit) ซึ่งได้แก่ เช็ค ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาแลกเปลี่ยน (Contract Agreement Credit) ซึ่งได้แก่  สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ สัญญาขายฝาก

 เศรษฐกิจพอเพียงกับการคิดทางธุรกิจ

ในสังคมที่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย และใช้สิ่งเหล่านี้เครื่องมือวัดความมีหน้ามีตาในสังคมก็จะเกิดความต้องการที่อยากได้มากเพิ่มขึ้น ความไม่เพียงพอจึงเกิดขึ้น การที่จะสอนให้บุคคลคิดและพิจารณาเป็นสิ่งที่ยากเพราะความต้องการและความอยากได้มักจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเสมอ

            การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการคิดในการดำเนินชีวิตที่พอเพียง  ซึ่ง สุเมธ ตันติเวชกุล (2549, หน้า 99 -122) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้นำเสนอเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เพื่อดับวิกฤติการณ์ให้แก่คนไทยโดยมีพระราชดำรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงมานานเกือบ 30 ปั เพื่อให้เกิดความสุจที่แท้จริงกับตนเอง มีความพอดี เป็นคนดี และมีธรรมะซึ่งจะส่งผลให้ประเทศชาติมีความสงบสุขร่สมเย็นไม่ตกเป็นเหยื่อของการพัฒนาที่ผิดทิศทาง เศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเสมือนเสาเข็มที่เป็นรากฐานของชีวิต ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยความพอเพียงแห่งตน (Self – sufficiency) การทำให้ตนเองได้อย่างพอเพียงดดยไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น ซึ่งหมายถึงการพึ่งตนเองให้ได้  การกระทำใด ๆ ให้พอเพียง หมายถึง ทำพอประมาณด้วยเหตุด้วยฟล การพัฒนาต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน โดยการกำหนดแนวทาง ดังนี้

1. สร้างระบบภูมิคุ้มกันในตัวเพื่อสามารถเผชิญละอยู่รอดจากผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

2. มีความรู้ รอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน

3. เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจให้เป็นผู้มีจิตสำนึกในด้านคุณธรรมและจริยธรรม

4. ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียรและมีสติ

5. สร้างความสมดุลเพื่อเตรียใพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง

แนวิดในการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในด้านธุรกิจ ได้แก่

1. ยอมรับการมีกำไรในระดับพอประมาณ (Normal Profit) และมีเหตุผลเพียงพอต่อนักธรกิจที่จะลงทุนหรือผู้ถือหุ้น และต้องไม่เป็นการแสวงหากำไร โดยการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือทำผิดกฎหมาย

2. ไม่ปฏิเสธการส่งออกแต่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีเพื่อให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยระลึกเสมอว่า การจะก้าวให้ทันต่อกระแสโลกาภิวัตน์ต้องอาศัยกความรอบรู้ รอบตอบและระมัดระวังอย่างยิ่ง

3. สามารถกู้เงินมาลงทุนและทำรายได้แต่ต้องสามารถใช้หนึ้ได้

4. มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต มีความเพียรและอดทน รับผิดชอบต่อสังคม โดยมีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การปรับปรุงสินค้า และคุณภาพให้ทันต่อความต้องการของตลาดและการปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

5. รักษาความสมดุลในการแบ่งปันผลประโยชน์ของธุรกิจในระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ  ได้แก่พนักงาน บริษัท ผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

สำหรับการดำเนินชีวิตด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยทั่วไปในระดับสังคมและบุคคล คือ ความสามารถในการพึ่งตนเองใน 5 ด้าน ได้แก่ จิตใจ สังคม เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาตและสิ่งแวดล้อม ละเศรษฐกิจ รวมทั้งรู้จักคำว่า พอ และไม่เบียดเบียนผู้อื่น พยายามพัฒนาจนเองเพื่อสร้างเสริมความเข้มแข็งและความชำนาญ มีความสุขและมีความพอใจในชีวิตที่พอเพียง ยึดทางสายกลางในการดำรงชีวิต

 สรุป

มนุษย์มีความต้องการพื้นฐานเพื่อความอยู่รอด ทั้งที่เป็นสิ่งที่จำเป็นทางด้านร่างกายและสิ่งที่จำเป็นทางด้านจิตใจ ความต้องการของมนุษย์ไม่สิ้นสุดและไม่มีวันหยุดนิ่ง ดังนั้น ความต้องการจึงวนเวียนไปมาเมื่อมีความรู้สึกว่าความต้องการในขั้นต้นพร่องไป ซึงก็สอดคล้องกับนักจิตวิทยาบางท่านที่มีความคิดเห็นว่าความต้องการของมนุษย์นั้นอาจไม่มีลำดับขั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลต้องการสิ่งใดในขณะนั้น และความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุดเนื่องจากความต้องการเป็นภาวะทางด้านจิตใจที่ควบคุมได้ยาก การดำเนินชีวิตจึงต้องยึกหลักการคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์และสมเหตุสมผล โดยนำหลักของการคิดทางเศรษฐกิจที่สามารถตอบคำถามว่า ทรัพยากรหรือเงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำไปใช้ในทางใดที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่ากัน การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำธุรกิจก็จะเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวให้สามารถคิดและพัฒนาตนเองให้อยู่รอดในสังคมปัจจุบันได้

 เอกสารอ้างอิง

วรากรณ์  สามโกเศศ. (2549). ตัวอย่างเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน. การบรรยายพิเศษ ห้องประชุม 3-1 อาคาร 5 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 14 มกราคม 2549.

สุเมธ ตันติเวชกุล. (2549). หลักธรรม ทำตามรอยพระยุคลบาท. กรุงเทพมหาคร : ด่านสุทธา การพิมพ์.

 

© Copyright 2005. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com