ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







ผิดที่ภาษา

เช้าวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าบ้านเมือง (Town House) องฉันอยู่นั้น  พลันสมาธิของฉันก็ต้องแตกกระเจิง เมื่อได้ยินเสียงคุณนายข้างบ้าน ส่งเสียงกรี๊ดกร้าดลั่นบ้านดุด่าสาวใช้ของเธออย่างโกรธแค้น ความที่บ้านของเราใกล้ขิดกันมากฉันจึงพลอยได้รับรู้เรื่องราวไปด้วย   ใจความตอนหนึ่งที่เธอกล่าวหาสาวใช้ของเธอก็คือ ทุกครั้งที่เธอจัดหาของเตรียมไว้เพื่อเป็นอาหารว่างสำหรับลูก  และสามี แล้วสั่งให้สาวใช้ไปทำอาหารว่างให้ด้วย แม่สาวใช้ตัวดีก็ไม่ทำให้  นัยว่าไม่ทำตามคำสั่งมาหลายครั้งแล้ว  จนเธอทนไม่ไหวต้องเอาเรื่องเสียบ้างจะได้เข็ดหลาบ   ฉันสรุปเอาเองว่า  สาวใช้คนนี้คงจะผิดจริง  เพราะไม่ได้ยินเสียงเถียงนายเลย 

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นเมื่อสบโอกาส ฉันจึงเลียบเคียงถามความเป็นไป และเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับสาวใช้ผู้อ้วนเป็นหมี และพลีเป็นมันคนนั้น ตามนิสัยของคนไทยที่อยากรู้เรื่องไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่ฮันได้รับทราบในวันนั้นทำให้เกิดอาการอึ้งไปเลย

           "ก็คุณนายสั่งให้ทำอาหารว่าง หนูก็ทำอาหารว่าง ว่างจนเกลี้ยงไม่ให้เหลือเลยแม้แต่นิดเดียวคุณนายก็ยังไม่พอใจ " สาวใช้คนดีโอดครวญทันทีเมื่อมีโอกาสระบายความในใจ         

           "บางทีหนูอิ่มจะตายอยู่แล้วก็ยังต้องพยายามกินให้หมด  เพราะเสียดายของ แต่คุณนายก็ยังโกรธทุกที  หาว่าหนูไม่ทำอาหารว่าง  ไม่รู้ว่าจะให้หนูทำอาหารว่างไปถึงไหน " เธอกล่าวอย่างอึดอัดและน้อยใจเธอย้อนถามฉันว่า "อาจารย์ว่าใครผิดคะ"  ฉันก็ไม่แน่ใจหมือนกันแต่วันนั้นตอบเธอไปว่า "ภาษามั้ง"            

แต่อย่างไรก็ตามคำสารภาพของเธอผู้นี้ทำให้ฉันได้ฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสถาบันของฉันเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่ทางสถาบันของฉันได้จัดให้มีการประชุมสัมนาทางวิชาการเมื่อถึงเวลาเปิดงานก็ต้องมีการไปรับประธานเข้ามาในงานเพื่อทำพิธีเปิดหัวหน้างาน จึงกระซิบให้อรดีเลขาของงานไปรับประธานได้แล้ว อรดียกมือไหว้แล้วกล่าวขอบคุณ  ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างขมีขมัน  ฉันยังนึกชมอยู่ในใจว่าเด็กคนนี้ช่างเรียบร้อยดี และดูท่าจะเอางานเอาการ  แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นอรดีกลับเข้ามาอีกเลย  ทุกคนรอประธานที่อรดีไปรับจนทนไม่ไหว ต้องให้อาจารย์อีกท่านหนึ่งไปทำหน้าที่แทน จนกระทั่งการสัมมนาได้เริ่มต้นแล้วสักครู่ใหญ่อรดีจึงกลับเข้ามาด้วยท่าทีที่มีความสุขเกษมเปรมปรีดิ์    ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยในพฤติกรรมของเธอเป็นอย่างยิ่ง  เพื่อนของฉันซึ่งเป็นหัวหน้างานโกรธมากถึงกับเรียกอรดีไปต่อว่า ต่อขานอย่างเผ็ดร้อน นัยว่ามีการร้องห่มร้องไห้กันยกใหญ่ อรดีเธอยืนยันในความบริสุทธิ็ของเธอว่า เธอไม่ผิดก็บอกให้เธอไปรับประธาน (เพื่อมาทำพิธีเปิดงาน) เธอก็ไปรับประทาน (อาหาร) ตามที่อนุญาต เพราะกำลังหิวพอดีเนื่องจากรีบจนไม่ได้รับประทานข้าวเช้า แล้วจะมาโกรธเธอได้อย่างไร งานนี้มีผู้ตัดสินว่า ภาษามั้ง เป็นผู้ผิดแต่เพียงผู้เดียว น่าสงสารภาษา        

เรื่องของน้องสาวคนเล็กของฉันก็น่าจะเป็นเรื่องผิดที่ภาษาได้เหมือนกัน ก็เพราะผิดที่ภาษานี่แหละที่ทำให้ในระยะหลัง นี้  ทำให้เธอมักจะแอบมาร้องไห้คร่ำครวญกับฉันว่า สามีของเธอนั้นสงสัยจะต้องมีอะไร  ไม่ชอบมาพากลแน่เลย  ไม่ว่าเธอจะอยากพูดอะไร หรืออยากจะทำอะไร   เขาก็จะยีนกรานแบบกระต่ายขาเดียวกับเธอว่า  "หย่าเลย จนเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดหรือทำอะไรอีกแล้ว   และเธอพูดเสริมต่ออย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่า "ถ้าหนูทนไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็จะหย่า  ให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ให้มานั่งพูด หย่าเลย อยู่หรอก" ฉันปลอบเธอว่า เธอคิดไปเองหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตจากพฤติกรรมที่เขาปฎิบัติต่อเธอและลูก แล้ว ฉันกล้ายืนยันได้ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้  แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดไปเองแน่นอน    เธอก็อ้อนวอนให้ฉันช่วยค้นหาความจริงให้เธอด้วย ฉันรับคำและรีบดำเนินการทันที แต่หลังจากที่ฉันลงมือดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปได้ไม่กี่คำ ฉันก็ได้ค้นพบความจริงว่าคำว่า หย่าเลย ของน้องสาวคนช่างคิด (ไม่เข้าเรื่อง) ของฉันนั้น มันก็คือ คำว่า อย่าเลย ของสามีคนช่างห้าม (อยู่เรื่อย) ของเธอ นี่ถ้าไม่เข้าไปสืบล่าหาความจริง ป่านนี้ก็คงไม่รู้ว่าภาษาทำความผิดเข้าให้อีกแล้ว

น้องสาวฉันบอกว่าตอนนี้กำลังโกรธภาษาเลยพูดภาษาและใช้ภาษาเท่าที่จำเป็น แต่ไม่รู้ว่าฉันตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นน้องเขยและหลาน ของฉันแอบยิ้มให้กันอย่างพอใจที่ภาษาทำความผิดแล้วแม่เลยโกรธไม่ยอมใช้ภาษา ทำให้บ้านเงียบเสียงบ่นไปจมเลย

  

© Copyright 2006. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com