ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







พูดจาภาษานักเรียน

เมื่อวันก่อนฉันได้หลุดเข้าไปนั่งรับประทานอาหาร  ในโรงอาหารของนักศึกษา  เนื่องจากเกิดอาการหิวจนหูตาลาย   ในขณะนั้นเป็นเวลาที่นักศึกษาเปลี่ยนชั่วโมงเรียนและเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว   จึงมีนักศึกษาเหลืออยู่ในโรงอาหารเป็นจำนวนไม่มากนัก   ฉันเลือกที่นั่งตรงมุมสงบมุมหนึ่ง หันหลังให้กับทางเข้าทางออกของโรงอาหาร เพราะเกิดความไม่แน่ใจว่าความหิวจะทำให้พฤติกรรมการกินของฉันนั้นมีคนนำไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของผู้ที่ฉันไม่ประสงค์จะเข้าพวกด้วยหรือไม่ 

ในความรู้สึกของฉันอาหารที่ฉันกินในวันนั้นมีความอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นเหมือนกับคำบอกเล่าของเพื่อนอาจารย์ของฉันหลาย ๆคน ที่มักจะค่อนขอดและให้คำนิยามไว้ ว่า ดีกว่ากินดิน กำลังนึกอยู่ในใจว่า เมื่ออิ่มแล้วจะไปโพนทะนา เอ๊ยไม่ใช่ จะไปแก้ข่าวเรื่องรสชาติของอาหารว่าแท้ที่จริงแล้วน่าจะให้คำนิยามว่า ดีกว่าไม่มีกิน ต่างหาก

ในขณะที่ฉันกำลังชื่นชุลมุนอยู่กับการกินนั้น พลันฉันก็เกิดอาการหยุดชะงัก หมดความรู้สึกสนใจในรสชาดของอาหารขึ้นมาทันที ก็จะไม่ให้ฉันเกิดอาการชะงักงันได้อย่างไร  เพราะเสียงคุยกันของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะพากันเดินเข้ามาในโรงอาหารนั้นนอกจากจะดังคับโรงอาหารแล้วเรื่องที่พวกเขา กำลังวิพากษ์วิจารย์อยู่นั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเรียนจบชั่วโมงมาหยก ๆ เสียด้วย 

นักศึกษาท่านหนึ่งกล่าวว่า  "นี่ พวกเธอเห็นด้วยกับฉันไม๊ว่าอาจารย์สอนวิชา... แกสอนปากเป็นชักยนตร์เลยนะ"   ฉันเกิดอาการสะอึกขึ้นมาทันทีเพราะคิดไปว่าอาจารย์ผู้นั้นเจอดีเข้าให้แล้วไหมล่ะ สมน้ำหน้า คงพูดแบบไม่หยุดปากจนนักศึกษาจดไม่ทัน หรือไม่ก็อาจจะสอนแบบน้ำท่วมทุ่ง เวลาจะทบทวนว่าอาจารย์สอนอะไรบ้างในชั่วโมงเรียน ก็ต้องหากระชอนมากรองเพื่อค้นหาเนื้อหาวิชา   ดีนะที่ลูกศิษย์พวกนึ้เขาไม่ใช้คำว่า อาจารย์สอนแบบปากไม่มีหูรูด หรือ อาจารย์สอนแบบผีเจาะปากหริอ สอนยังกับพวกฆ้องปากแตก อะไรทำนองนั้นน่ะเพราะถ้าพวกเขาใช้สำนวนเหล่านี้ อาจารย์จะรู้ว่าความหนาวนั้นเป็นอย่างไร

แต่แล้วคำพูดเสริมต่อท้ายอธิบายความของนักศึกษาท่านเดิมก็ทำให้ฉันโล่งใจที่เข้าใจความหมายของคำพูดที่เขานำมาเปรียบเปรยนั้นผิดไป   เพราะนักศึกษาท่านเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดจะชื่นชมอาจารย์คนที่พวกเขากำลังกล่าวขวัญถึงว่า  "แกช่างอธิบ๊าย อธิบาย ใครทำหน้างง ๆ หรือ ชักสีหน้าสักนิด สักหน่อย แกก็จะออกอาการวาดลวดลายอรรถาธิบายจนพวกเราเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ทีเดียว  โอ้โห ฉันคิดอะไรมันจะแดงขนาดนั้น  นักเรียนในกลุ่มเสริมว่า ความจริงก็สงสารอาจารย์นะที่อุตส่าห์อธิบาย  ฉันเองยังต้องเตือนยายนิภาเลยว่า เวลาเรียนห้ามทำหน้ายับหน้าย่น มันก็ไม่เชื่อเพราะพออาจารย์เหลือบมองหน้ายายนิภาทีไร ฉันเดาได้เลยว่าแกต้องอธิบายซ้ำทุกที แม้ว่าจะทำให้

พวกเราจะเข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งไปหมดก็ตามที่ แต่การที่อาจารย์แกก็ไม่ยอมอม (เข้าใจว่าน่าจะละคำว่า ภูมิ ไว้ในฐานที่เข้าใจ) อะไรไว้เสียบ้างเลยเล่นบอกทุกสิ่งทุกอย่างอย่างหมดใส้หมดพุงอย่างนี้ทำให้เสียมาดอาจารย์ไปหมด  อีกคนรีบเสริม แต่ว่าไปแล้วถ้าอาจารย์แกก็อนาทรร้อนใจนะ ถ้าอาจารย์สอนพวกเราได้อย่างนี้ทุกคนก็คงดีนะ"  ฉันถอนใจอย่างเบา  ๆ เพื่อให้ลมสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างเต็มที่หลังจากมีความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง 

อาการผ่อนคลายของฉันยังไม่ทันที่จะเข้าที่เข้าทาง พลันฉันก็ต้องกลับมาสะดุ้งแปดตลบอีกครั้ง เมื่อท่านนักศึกษาอีกคนหนึ่งกล่าวเสริมเพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ของอาจารย์ผู้นั้นขึ้นมาอีกว่า  "เพื่อนรุ่นพี่เขากล่าวเตือนพวกเราเกี่ยวกับอาจารย์คนนี้มาด้วยนะว่า แกน่ะ ปากว่าตาขยิบนะเธอ " ใจฉันนั้นสั่นกระดุ๊กกระดิ๊กขึ้นมาอีกทันที นี่ความวัวยังไม่ทันหาย  ความควายก็เข้ามาแทรกอีกแล้วหรือ  แล้วใจก็คิดเลยไปอีกว่า  อาจารย์ผู้นั้นคงทำอะไรที่ไม่ดี  ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่างเป็นแน่แท้ จึงทำให้นักศึกษาเกิดความไม่ไว้วางใจในพฤติกรรมของอาจารย์แน่  ๆ เลย แล้วอาจารย์แกจะรู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันสะกดจิตสะกดใจไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกไปกับคำพูดของ นักศึกษามากจนเกินไป   และคิดว่าถ้าตั้งใจฟังไปอีกสักหน่อยก็คงจะได้รู้ดำรู้แดงว่าอาจารย์ท่านนั้นมีพฤติกรรมอย่างไร  นักศึกษาท่านเดิมก็กล่าวต่อขึ้นมาด้วยเสียงที่มั่นใจในเรื่องที่ได้รับรู้มาว่า  "เขาว่าว่าแกทำท่าดุไปอย่างงั้น  แหละเรียกว่า เขียนเสือให้วัวกลัว แต่ความจริงแล้วแกไม่มีอะไรหรอก  แก ใจดี เอ็นดูนักศึกษาเหมือนลูกเหมือนหลานเพราะแกไม่เคยมีลูกหลานมาก่อน แกอยากมีจะตายไป สาวแก่ก็อย่างนี้แหละและก็ที่เขาเรียกว่าคนในอยากออกคนนอกอยากเข้าไงล่ะ" ยังดีหน่อยที่ลูกศิษย์เขาไม่ได้กล่าวหาว่า  อาจารย์ท่านนั้น ปากมหาภัย น้ำใจดีงาม แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดีท่านนักศึกษาเอาเรื่องสองเรื่องนั้นมารวมกันกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้อย่างไร และที่กล่าวหาอาจารย์ผู้นั้นว่าแกได้อยากมีลูกมีหลานเสียเต็มประดานั้น แกทำท่าอย่างไรและทำเมื่อไหร่  ชึ่งฉันเองก็ชักจะอยากรู้ขึ้นมาบ้าง เผื่อจะได้นำมาเป็นความรู้ แล้วจะได้ไม่ไปทำท่าทำทางแสดงให้นักศึกษาเห็นอาการอยากเช่นว่านี้

ฉันค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจที่สะกัดกลั้นเอาไว้เสียหน้าเขียวหน้าเหลืองเพื่อให้ใจที่แกว่งไกวเมื่อสักครู่ได้ค่อย ๆ สงบลง พลันก็เกิดความคิดที่อยากจะรู้ว่านักศึกษากลุ่มนี้ เป็นนักศึกษาวิชาเอกอะไร เพราะช่างที่จะสรรหาคำมาพูดวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเห็นหน้าเห็นหลังเอ๊ย เห็นเนื้อเห็นหนัง (เอ๊ะใช่หรือเปล่า คนเล่าก็ชักจะงง ๆ แล้วเหมือนกัน ท่านผู้อ่านช่วยหาคำให้หน่อยนะคะ) 

ในขณะที่ฉันกำลังนึกหาคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่นั้น นักศึกษาอีกคนหนึ่งกล่าวต่ออย่างสนุกสนานอีกกว่า อาจารย์แกยังแนะนำพวกเราว่า เวลาเรียนน่ะอย่านั่งเงียบเฉย ฉันว่าแกคงหาว่าพวกเรานั่งเงียบเหมือนเป่า.... มีปากเหมือนมี... แน่เลยว่ะ แกคงอยากให้พวกเราเป็นประเภทพวกปากกระโถนหรือ พวกปากหอยปากปู เป็นแน่เลย" นักศึกษาคนเดิมพูดต่ออีกว่า พวกเรามันไม่ใช่พวกปากยื่นปากยาวเสียด้วยนะเธอ จะได้ทำตามที่อาจารย์แกต้องการได้ ฉันอยากจะลุกหนีนักศึกษากลุ่มนั้นไปเสียให้พ้น  ๆ เพราะ อาจารจานที่ ฉันเป็นเจ้าของอยู่ตรงหน้าเริ่มที่จะมีกลิ่นบูดขึ้นมาตามอารมณ์ของฉันเสียแล้วชี นึกอยากจะลุกขึ้นแสดงตัวว่าเป็นอาจารย์นะ  ท่านนักศึกษาจะได้นึกเกรงใจบ้าง  แต่ก็ได้แต่นึกเท่านั้น เพราะหนึ่งในจำนวนนักศึกษากลุ่มนั้น ก็ได้เข้ามาสะกิดฉันที่หัวไหล่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "พื่ พื่เมื่อไหร่พี่จะกินเสร็จเสียทีล่ะ โต๊ะตัวนี้พวกเราจองกันเอาไว้แล้วนะ นี่ก็รอพื่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นพิ่มีทีท่าจะลุกเสียที พวกเราเลยลุกมาบอก ถ้าพี่จะรอพบใครละก็  กรุณาเลื่อนไปนั่งที่โต๊ะอื่นนะพี่นะ " ท่านนักศึกษาผู้นั้นกล่าวอย่างมีอารมณ์ค่อนข้างดี ฉันเห็นท่าทางของเขาแล้ว  เกรงว่าจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพราะในสมัยนี้นักศึกษาเขาอาจโมโหถึงขั้นอาละวาดไว้ เพราะเขายังใช้คำว่าแกเมื่อกล่าวถึงอาจารย์ทุกคำ เหมือนกับสรรพนามที่ฉันเคยได้ยินในละครโทรทัศน์ที่เป็นพวกละครย้อนยุคเรื่องหนึ่ง เมื่อ ท่านเจ้าคุณ หรือคุณหญิงพูดกับบ่าวของท่าน ฉันเลยต้องกลับมานึกทบทวนคำสรรพนามที่ใช้แทนพวกเขา แล้วก็ได้ข้อสรุปที่เป็นตรรกวิทยา ว่า น่าจะต้องใช้คำว่า ท่าน จึงจะสอดคล้องกันดี คิดได้เช่นนั้นแล้ว ฉันก็เลยรีบหอบข้าวหอบของที่มีติดตัวมา อย่างรุกรี้รุกรน พร้อมทั้งกล่าวขออภัยท่านนักศึกษาที่เข้ามาก้าวก่ายสิทธิอันชอบธรรมของเขา  ฉันหรือจะมีปัญญาอะไรไปโต้แย้งกับเขาได้ เพราะพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้อะไรดีอะไรชอบแล้ว แล้วที่สำคัญที่สุดเขามีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง ส. ส. ฯลฯ แล้วด้วย ฉันรีบเดินออกไปจากที่นั้นโดยเร็ว ด้วยเกรงว่าจะเกิดไปสบตาเข้ากับคนใดคนหนึ่งแต่ฉันก็เดินไม่เร็วเท่าที่ใจปรารถนา เพราะยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงของนักศึกษากลุ่มนั้นดังไล่ตามหลัง

มาอีกว่า "เฮ้ย ใช่อาจารย์คนที่สอนพวกเราเมื่อชั่วโมงที่แล้วหรือเปล่าวะ คลับคล้ายคลับคลาว่ะ"  

© Copyright 2005. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com