ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







มองสลับมุม :  เมื่อนักเรียนไม่เรียน

 ในการจัดการเรียนรู้ ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคข้อมูลข่าวสารนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียนเสมอไป ข้อที่สำคัญที่สุดคือการที่จะต้องให้ผู้เรียนและผู้สอนได้ข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องร่วมกันว่า จะสามารถสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น และจะได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีค่าเป็นสิ่งตอบแทนจากงานนี้  จากประวัติศาสตร์ โรงเรียนถูกสร้างขึ้นเพราะเป็นวิธีการเดียวที่เล็งเห็นว่ามีประสิทธิภาพพอที่จะให้เยาวชนได้เข้ามาเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติเพื่อเตรียมการให้ก้าวเข้าสู่สังคมที่ซับซ้อนได้ พ่อแม่ต้องการให้ลูกก้าวหน้าและพร้อมที่จะจ่ายเงินให้โรงเรียนเพื่อให้ช่วยทำให้ลูก ๆ ของตนได้เรียนรู้ให้ได้ ภายหลังจากที่นักการศึกษา ลงความเห็นว่าเยาวชนจะต้องได้รับการศึกษาให้จบระดับมัธยมไม่ว่าจะต้องการเรียนหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ทำไมนักเรียนจึงมองไม่เห็นว่าการศึกษาในระดับนั้นสำคัญ นักการศึกษาจะจัดการอย่างไร แม้ในขณะนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้มองเห็นว่าการให้การศึกษา 12 ปี เป็นจุดหมายหลักที่สำคัญ เพราะทุกคนทราบดีว่าสังคมในปัจจุบันจะต้องพึ่งพาการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ   การจ้างงานต้องมีการแสดงใบประกาศนียบัตรแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวความรู้ก็ตาม  แม้แต่ในงานซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เริ่มมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ช่างซ่อมรถยนต์ ถ้าไม่มีความรู้ในเรื่องเครื่องกลไฟฟ้าก็จะไม่สามารถซ่อมรถยนต์ในสมัยนี้ได้ นอกจากความต้องการที่จะให้สามารถปฏิบัติงานแล้ว สังคมยังต้องการมากกว่านั้น ในสังคมปัจจุบัน ถ้าใครไม่มีการศึกษาก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีความหมาย จะไม่มีอำนาจที่ได้มาอย่างถูกต้อง และอาจจะไม่สามารถมีได้เลยจนกว่าจะไปได้รับการศึกษา

 ในทุกวันนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้วทุกคนอยากที่จะเป็นคนสำคัญ จึงมีเด็กหนุ่มสาวจำนวนมากมายที่มีท่าทีโกรธแค้นและหงุดหงิด เพราะคิดว่าพวกเขาจะได้ดีกว่านี้ถ้ามีการศึกษา แต่เมื่อพวกเด็กอยู่ในโรงเรียน ก็พบว่าในแต่ละวันไม่มีสิ่งที่น่าพอใจเพียงพอที่จะทำให้อยากอยู่ในโรงเรียน นักเรียนที่ไม่รักเรียนแทบทุกคนต่างก็รู้ว่าประกาศนียบัตรเป็นสิ่งที่มีคุณค่า  แม้ว่าเขาจะรู้แต่ผลที่จะได้ดูช่างห่างไกลเกินไป และเมื่อเด็กเหล่านี้รู้สึกเสียดายการศึกษาขึ้นมาในภายหลังมันก็สายเกินไปเสียแล้ว

 ทฤษฎีการควบคุมเป็นเรื่องของการให้ค่าตอบแทน และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะได้สิ่งที่พอใจ เนื่องจากนักเรียนใช้เวลามากอยู่ในโรงเรียน เขาจึงต้องพยายามหาสิ่งที่ทำให้เขาพอใจทั้งในและนอกชั้นเรียน นักเรียนที่เรียนหนักในชั้นมัธยม และประสบความสำเร็จได้ค้นพบวิธีการสร้างความพอใจให้แก่ตนเองจากงานการเรียนที่ทำในชั้นเรียน พวกที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือพวกที่หาความพอใจจากการเรียนไม่ได้ซึ่งก็จะค่อย ๆ เลิกเรียนไป และก็เริ่มที่จะตัดสินใจอย่างไม่ฉลาดว่าการเรียนไม่ได้ให้สิ่งที่ต้องการที่มีค่าน่าพอใจเพียงพอที่จะพยายามเรียนต่อไป

 ปัญหาของการไม่เรียนของนักเรียนไม่ค่อยจะมีความรุนแรงในระดับประถมศึกษาเพราะว่าเด็กเล็ก ส่วนใหญ่จะต้องการความพอใจที่ได้สนองด้วยการเอาใจใส่และการยอมรับจากบุคคลอื่น เช่น พ่อ แม่ และครู และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาได้รับในขั้นเรียนซึ่งมีความคงที่มากกว่าในระดับมัธยมที่มีชั้นเรียนแบบหลากหลาย ดังนั้นเด็ก ๆ โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาจะพยายามเรียนเพราะรักพ่อแม่และต้องการที่จะทำให้พ่อแม่ชื่นชม ถ้าเด็กไปโรงเรียนที่มีครูดูแลเอาใจใส่เด็กก็จะได้รับความรักทั้งจากบ้านและโรงเรียน แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ระดับมัธยม ครูก็เริ่มห่างเหินและไม่ค่อยได้เข้ามาคลุกคลี เด็กก็จะสูญเสียความเอาใจใส่จากโรงเรียนโดยทันทีที่เปลี่ยนสภาพมาเป็นนักเรียนชั้นมัธยม เด็กจึงเริ่มหันมาหาการยอมรับจากเพื่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มพึ่งพาครูและพ่อแม่น้อยลงไปทุกที  

ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนเป็นเพื่อนที่เรียนหนังสือ เด็กก็จะถูกจูงใจให้เรียนหนังสือเพื่อที่จะยึดเพื่อนเอาไว้เป็นเพื่อนตน แต่ถ้าคบหากับเพื่อนที่ไม่ยอมเรียนด้วยกัน และเป็นพวกที่ไม่ชอบหรือไม่มีความพึงพอใจโรงเรียน กลุ่มเพื่อนก็จะพากันให้เกลียดโรงเรียน

 ข้อเสนอแนะในการที่จะทำให้พวกไม่เรียนหันกลับมาเรียนได้ คือ ครูจำเป็นต้องจัดทำโครงการที่มองเห็นลู่ทางที่จะให้ทั้งสองกลุ่มที่รักเรียนและไม่ชอบการเรียนเข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน ในขั้นแรกอาจจะมีความยากลำบาก เนื่องจากนักเรียนทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันในด้านการเล่าเรียนและด้านสังคม แต่เมื่อได้เริ่มต้นให้เรียนเป็นทีมได้ ระดับการแยกตัวออกจากเป็นกลุ่มกันน้อยลงและจะนำพาให้นักเรียนทั้งหมดทำงานด้วยกันได้ และเป็นเพื่อนกันมากขึ้น

 นักเรียนที่ไม่เรียนส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่ามันน่าจะดีขึ้นถ้าเขาเรียนมากกว่านี้ ความคิดเช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นจากการได้จะได้รับใบประกาศนียบัตรซึ่งเป็นสิ่งที่น่าต้องการมากกว่าความต้องการความรู้  แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ว่าการศึกษามีคุณค่าเช่นกัน เหมือนกับคนอ้วนที่รู้ว่าต้องลดน้ำหนักแต่ก็ไม่ยอมลดการกินอาหารเนื่องจากน้ำหนักไม่ได้ลดลงอย่างวดเร็วทันทีอย่างน่าพอใจ นักเรียนที่ไม่เรียนก็เพราะไม่เห็นผลของการเรียนที่แสดงออกมาอย่างน่าพอใจในทันทีทันใดไม่ว่าจะในหรือนอกขั้นเรียน คนอ้วนก็จะไม่ยอมลดน้ำหนักแต่กลับเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ นักเรียนที่เรียนไม่ทันก็จะเรียนล้าหลังไปเรื่อย ๆ และจะเพิ่มความยากที่จะตามทันขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าผลตอบแทนจากการเรียนจะมองไม่เห็นหรือได้รับในทันที หรือแม้แต่การได้รับโอกาสที่จะได้แก้ตัวในการเรียน พวกเด็ก ๆ เหล่านี้ก็ยังมองว่าไม่ออกว่าการศึกษา หรือ ประกาศนียบัตรที่มีคุณค่าที่แท้จริง

 บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ การอบรม และสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับจากโรงเรียน ที่รวมเรียกว่าเป็นระบบการศึกษา เป็นปัจจัยเสี่ยงของประเทศที่ไม่เคยได้รับการเรียนรู้ว่า ไม่สามารถจะกดดันให้นักเรียนให้เรียนได้ถ้าเขาไม่เชื่อว่าการเรียนจะทำให้เขาได้รับสิ่งที่เกิดความพึงพอใจ เราสามารถที่จะบังคับให้นักเรียนอยู่ในโรงเรียนได้ ซึ่งเราก็ได้กระทำกันอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่เราจะไม่สามารถทำให้เขาเรียนได้  เหมือนกับราไม่สามารถบังคับม้าให้กินน้ำได้แม้ว่าเราจะกดหน้ามันให้อยู่ในถังน้ำ โรงเรียนและครูมักจะสนใจกับระเบียบมากเกินไปเช่นทำอย่างไรจะทำให้นักเรียนทำตามกฏระเบียบแต่กลับไม่สนใจกับที่จะทำให้การศึกษาน่าพึงพอใจซึ่งจะทำให้ไม่ต้องไปสนใจมากนักกับระเบียบในการเรียน นักเรียนที่ไม่เรียนก็เหมือนกับม้าที่จะต้องดิ้นเมื่อถูกจับหัวให้กดอยู่ทีถังน้ำนานเกินไปและไม่อยากกินน้ำเพราะไม่หิว ระเบียบจะเป็นปัญหาต่อเมื่อนักเรียนถูกบังบังคับให้เข้าชั้นเรียนในชั้นเรียนที่เขามองไม่เห็นคุณค่าและสร้างความพึงพอใจ แต่จะไม่มีปัญหาด้านระเบียบการเรียนในชั้นที่นักเรียนเชื่อว่าถ้าเขาพยายามที่จะเรียนก็จะได้รับความพึงพอใจตอบแทนทันทีการที่หันไปสนใจกับกฎระเบียบ คือ การพยายามไม่สนใจกับปัญหาที่แท้จริง เราคงไม่สามารถทำให้นักเรียนหรือใครก็ตามอยู่ในระเบียบโดยดีได้ ถ้าวันแล้ววันเล่าเราก็บังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ได้พบกับความพึงพอใจ ถ้าเรายืนยันในการจัดการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ ต่อไป เราก็คงไม่มีรูปแบบการสอนที่น่าพึงพอใจแบบใหม่เกิดขึ้นเป็นเวลานานมากที่เราเชื่อว่า สิ่งเร้าและการตอบสนอง เป็นข้อสรุปว่าสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์สามารถจูงใจให้ทำงานได้ หรืออยู่ในกรอบได้ถ้าเขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรากระทำต่อเขา หรือทำเพื่อเขา โรงเรียนมักนำทฤษฎีที่ผิดเช่นนี้มาใช้เพื่อรักษาระเบียบให้ได้อย่างดี  การที่โรงเรียนได้นำทฤษฎีที่ไม่ถูกต้องมาใช้ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเพิ่มขึ้นเพราะเราพยายามที่จะกระทำต่อเขามากกว่ากระทำเพื่อเขา ตัวอย่างเช่น เราลงโทษเขามากกว่าที่จะให้รางวัล โดยเฉพาะในโรงเรียนระดับมัธยม ตามที่ทฤษฎีการควบคุมการลงโทษและให้รางวัล การให้รางวัลจะมีการทำลายน้อยว่าลงโทษ แต่ด้วยทฤษฎี สิ่งเร้ากับการตอบสนอง โรงเรียนมักจะเลือกองค์ประกอบที่มีการทำลายมากกว่า

 ส่วนใหญ่โรงเรียนจะใช้ทฤษฎีสิ่งเร้าและการตอบสนองเพราะเชื่อว่านักเรียนที่เกเรต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดมากกว่า ถ้าเราพยายามขู่หรือทำให้เขาเจ็บมากพอ เราก็จะสามารถบังคับให้เขาทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการเนื่องจากทนต่อความเจ็บปวดและทรมานไม่ได้ ความต้องการที่จะทำด้วยการลงโทษมีผลเพียงในระยะสั้นเท่านั้น แต่มีหลักฐานที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า การลงโทษก่อให้เกิดแรงจูงใจตามที่ต้องการในระยะยาวสำหรับผู้ใดเลย แต่แรงจูงใจระยะยาวเป็นสิ่งที่ครูต้องการให้เกิดในโรงเรียนไม่ใช่ระยะสั้น

 นักเรียนส่วนใหญ่ที่ไม่เรียนในชั้นเรียนได้รับการทรมานมากพอสำหรับการขู่และการลงโทษและมักจะเป็นการให้สินบนจากที่บ้านโดยสัญญาว่าจะให้เงินเดือนเพิ่มหรือให้สิ่งของซึ่งเป็นตัวเสริมแรงที่ได้ฉีดคุ้มกันไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่ก็พบว่ามีนักเรียนจำนวนน้อยมากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวกับสิ่งเหล่านี้ และเมื่อการลงโทษเริ่มจะค่อนข้างรุนแรง แรงจูงใจภายนอกที่ฉีดคุ้นกันไว้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ในระยะหนึ่ง และเมื่อมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ผู้ถูกลงโทษก็จะทำในสิ่งที่บอกให้ทำเพราะต้องการมีชีวิตรอด แต่ก็คงเป็นแค่การทำอย่างแกน ไม่มีสนใจที่จะคิดทำให้ดี 

 แต่ในเรื่องการศึกษาแล้ว ไม่มีการลงโทษใดที่ทำให้นักเรียนเรียนได้ถ้าเขาไม่ต้องการเรียน และเมื่อการให้รางวัลหรือลงโทษรุนแรง เขาอาจจะเพิ่มความพยายามมากขึ้น และในที่สุด เขาก็จะเรียนรู้ที่จะเกลียดทุกคนและเบื่อหน่ายการเรียนที่เขาไม่เคยเชื่อว่ามีความน่าพอใจ พ่อแม่ส่วนใหญ่และครูเชื่อว่า ถึงไม่มีแรงจูงใจครูที่ดีจะสามารถสอนนักเรียนได้ แต่ครูก็จะต้องอยู่ภายใต้ข้อสรุปว่านักเรียนทุกคนต้องการเรียนในสิ่งที่ครูสอนพวกเขาในโรงเรียน  ครูบางคนอาจจะมีทักษะในการจูงใจดีกว่าครูคนอื่น ๆ แต่ไม่ว่าจะมีทักษะมากเพียงใด ก็ยังไม่สามารถสอนนักเรียนได้ถ้าเขาไม่อยากที่จะเรียน  และไม่ว่าเราจะต้องการยอมรับกันหรือไม่ก๋ตามว่ามีนักเรียนอีกจำนวนมากที่มาโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอแต่มีก็มีความปรารถนาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยที่จะเรียนในสิ่งสอนอยู่ในโรงเรียน สิ่งเหล่นี้ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น เพราะเรายังคงแบกความเชื่อและทำในสิ่งเดิม ๆ เอาไว้ นำเอาทฤษฎีสิ่งเร้าและการตอบสนองมาใช้อย่างผิดๆ เป็นเวลานาน ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาทบทวนการจัดการเรียนรู้แบบเปิดใจกันได้หรือยัง 

© Copyright 2005. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com